6. สมมติฐาน (Hypothesis)
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921ได้กล่าวไว้ว่า การตั้งสมมติฐาน
เป็นการคาดคะเนหรือการทายคำตอบอย่างมีเหตุผล มักเขียนในลักษณะ การแสดงความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น(independent variables) และตัวแปรตาม (dependent variable) เช่น
การติดเฮโรอีนชนิดฉีด เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเอดส์
สมมติฐานทำหน้าที่เสมือนเป็นทิศทาง และแนวทาง ในการวิจัย จะช่วยเสนอแนะ แนวทางในการ
เก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป
สมมติฐานต้องตอบวัตถูประสงค์ของการวิจัยได้ครบถ้วนและทดสอบและวัดได้
http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~jaimorn/re7.htmได้กล่าวไว้ว่า ในการสร้างสมมุติฐานมี 2
แบบ ดังนี้
1.
แบบใช้เหตุผล หรือนิรภัย (Logical หรือ
Deductive)
โดยการเขียนจากหลักการ หรือทฤษฎี ที่ได้ศึกษาก่อน และตั้งเป็นสมมุติฐาน ซึ่งผู้วิจัยจะต้องตรวจสอบด้วยว่า สมมุติฐานที่สร้างขึ้นมานั้น สอดคล้องกับแนวความคิดทฤษฎีหรือไม่ ข้อสนับสนุนเพียงพอหรือไม่ ถ้าข้อมูลไม่ได้สนับสนุนสมมุติฐาน แสดงว่าสมมุติฐานนั้นใช้ไม่ได้
2. แบบอาศัยข้อเท็จจริง หรืออุปนัย (Emperical หรือ Inductive)
การสร้างสมมุติฐานแบบนี้ต้องอ้างอิงการวิจัยอื่น ๆ สังเกตข้อเท็จจริง พฤติกรรม แนวโน้ม ความสัมพันธ์ของสิ่งที่ปรากฏขึ้น แล้วจึงตั้งสมมุติฐาน
โดยการเขียนจากหลักการ หรือทฤษฎี ที่ได้ศึกษาก่อน และตั้งเป็นสมมุติฐาน ซึ่งผู้วิจัยจะต้องตรวจสอบด้วยว่า สมมุติฐานที่สร้างขึ้นมานั้น สอดคล้องกับแนวความคิดทฤษฎีหรือไม่ ข้อสนับสนุนเพียงพอหรือไม่ ถ้าข้อมูลไม่ได้สนับสนุนสมมุติฐาน แสดงว่าสมมุติฐานนั้นใช้ไม่ได้
2. แบบอาศัยข้อเท็จจริง หรืออุปนัย (Emperical หรือ Inductive)
การสร้างสมมุติฐานแบบนี้ต้องอ้างอิงการวิจัยอื่น ๆ สังเกตข้อเท็จจริง พฤติกรรม แนวโน้ม ความสัมพันธ์ของสิ่งที่ปรากฏขึ้น แล้วจึงตั้งสมมุติฐาน
สมมุติฐานไม่ควรจะเป็นเรื่องที่คิดเพิ่มเติมเสริมแต่งขึ้นมาใหม่เอง
และไม่ควรเขียนขึ้นภายหลัง เมื่อรู้ลักษณะโดยตลอดของข้อมูลแล้ว
สมมุติฐานควรจะเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของนักวิจัย
ในการสังเคราะห์ความคิดเกี่ยวกับปัญหา
อรุณี
อ่อนสวัสดิ์ (2551)
ได้กล่าวไว้ว่า กาตั้งสมมุติฐาน
หมายถึงข้อความที่แสดงถึงการคาดคะเนคำตอบเกี่ยวกับผลการวิจัย
ที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปร โดยอาศัยหลักฐานหรือความรู้เดิม
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการค้นคว้า
เพื่อทำการพิสูจน์ตรวจสอบความถูกต้องของสมมุติฐานนั้น
และเท็จจริงของเรื่องที่ต้องการศึกษา
ประเภทของสมมุติฐาน
(Type of
hypothesi)
สมมุติฐานแบ่งออกเป็น 2
ประเภทใหญ่ ๆ คือ สมมุติฐานการวิจัย
และสมมุติฐานทางสถิติ
1. สมมุติฐานการวิจัย (Research hypothesis) เป็นข้อความที่คาดเดาคำตอบ หรือสันนิษฐานคำตอบของการวิจัยไว้ล่วงหน้า
ซึ่งเขียนบรรยายโดยใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมายให้เข้าใจตรงกัน
ในการทำการวิจัยไม่จำเป็นว่าการวิจัยทุกเรื่องจะต้องมีสมมุติฐานการวิจัย
การวิจัยบางลักษณะเช่น การวิจัยเชิงสำรวจ ผู้วิจัยมักจะไม่ได้ตั้งสมมุติฐานไว้
เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะพบสิ่งใด
หรือการวิจัยที่ไม่มีทฤษฎีหรือตัวอย่างในการวิจัยเรื่องนั้น ๆ
มาก่อน
2. สมมุติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis) เป็นสมมุติฐานที่เขียนอธิบายคำตอบในรูปโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ที่คาดคะเนถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวแปรหรือมากกว่า
สมมุติฐานทางสถิติประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน
ได้แก่
2.1 สมมุติฐานศูนย์ (Null hypothesis) เป็นสมมุติฐานทางสถิติที่ตั้งเอาไว้เพื่อการทดสอบ
ซึ่งเขียนไว้ในลักษณะที่ไม่แสดงความแตกต่าง ระหว่างค่าพารามิเตอร์ที่ต้องการทดสอบ
นิยมใช้สัญลักษณ์ H0 แทนสมมุติฐานศูนย์
2.2 สมมุติฐานอื่นที่เป็นทางเลือก (Alternative hypothesis)
เป็นสมมุติฐานทางสถิติที่ตรงข้ามกับสมมุติฐานศูนย์ที่ต้องการทดสอบ
ซึ่งเขียนไว้ในลักษณะที่แสดงความแตกต่างระหว่างค่าพารามิเตอร์ที่ต้องการทดสอบ
โดยตั้งขึ้นมาเป็นทางเลือกในกรณีปฏิเสธสมมุติฐานศูนย์ จะได้มีสมมุติฐานอื่นรองรับ
และถ้ายอมรับสมมุติฐานศูนย์ จะได้ปฏิเสธสมมุติฐานอื่น
โดยสมมุติฐานอื่นมักจะเป็นสมมุติฐานที่คาดว่าจะเป็นผลของการวิจัย
นิยมใช้สัญลักษณ์ H1 หรือ HA แทนสมมุติฐานอื่น
สรุป การตั้งสมมติฐาน เป็นการคาดคะเนหรือการทายคำตอบอย่างมีเหตุผล มักเขียนในลักษณะ การแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น(independent variables) และตัวแปรตาม (dependent variable) เช่น การติดเฮโรอีนชนิดฉีด เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเอดส์ สมมติฐานทำหน้าที่เสมือนเป็นทิศทาง และแนวทาง ในการวิจัย จะช่วยเสนอแนะ แนวทางในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป สมมติฐานต้องตอบวัตถูประสงค์ของการวิจัยได้ครบถ้วนและทดสอบและวัดได้
เอกสารอ้างอิง
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อ 19 ธันวาคม
2555
http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~jaimorn/re7.htm [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อ 19 ธันวาคม
2555
อรุณี
อ่อนสวัสดิ์. (2551). ระเบียบวิธีวิจัย. พิษณุโลก : คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยนเรศวร.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น